top of page

LUTE SUITE BWV 995
ในเพลง Lute Suite BWV 995 เดิมเป็นบทประพันธ์สำหรับเครื่องดนตรีฮาร์ปซิคอร์ด และได้มีการปรับเปลี่ยนให้สามารถเล่นได้บนเครื่องดนตรีลูทหรือกีตาร์โบราณ และยังคงเป็นที่นิยมของนักกีต้าร์คลาสสิกในปัจจุบัน ประกอบไปด้วยทั้งหมด 7 ท่อน
-
Prelude
-
Allemande
-
Courante
-
Sarabande
-
Gavotte I
-
Gavotte II en Rondeau
-
Gigue
สำหรับการศึกษาในครั้งนี้ ได้ยกตัวอย่างของท่อน Prelude มาวิเคราห์โครงสร้างและลักษณะสำคัญที่น่าสนใจ
Prelude แปลว่า "โหมโรง" ในภาษาไทย และโหมโรงของ Suite ชุดนี้ประกอบไปด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ บทร่าย (Recitative) และ บทหลัก (Presto : Theme and Variation)
Prelude ส่วนที่ 1 - บทร่าย
ห้องที่ 1 - 3

รูปที่ 1 : Prelude ( ห้องที่ 1 - 3 )
ช่วงแรกจะเปิดตัวด้วยบันไดเสียง A ไมเนอร์ ให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนการเกริ่นแบบเดียวกับที่ผู้ดำเนินเรื่องในตอนต้นของละครเวทีมักจะกล่าว
บทประพันธ์ลักษณะนี้มักจะอยู่ในรูปแบบการเชิญชวนอยู่แล้ว แต่สำหรับ Prelude บทนี้นั้น กลับเป็นการใช้บันไดเสียงที่มีความหดหู่ แต่บาคได้นำเอาสเกล Melodic minor ขาขึ้นแทน ซึ่งการไล่บันไดเสียงแบบนี้ บ่งบอกได้ชัดเจนว่า ถึงจะไม่ได้มีความหมายที่น่าชักชวนมากนัก แต่ก็ยังคงความสวยงามของการประพันธ์อยู่ดี
ห้องที่ 3 - 5


รูปที่ 2 : Prelude ( ห้องที่ 3 - 5 )
เป็นช่วงที่ล้อกับประโยคแรกของท่อนนี้ และได้ใช้วิธีการดำเนินทำนองและเสียงประสานแบบ Contrary motion ตามหลักของการเล่น Figure Bass accompaniment และจบประโยคด้วยคอร์ด iv เป็นสัญญาณของการเตรียมออกเดินทาง
ห้องที่ 5 - 7

รูปที่ 3 : Prelude ( ห้องที่ 5 - 7 )
คอร์ด iv ถูก Invertion ให้มีความกว้างมากขึ้น และมีการใช้ Suspension เพื่อค้าง Tension และ Resolve vi กลับมายังจุดเดิม iv
ห้องที่ 7 - 9

รูปที่ 4 : Prelude ( ห้องที่ 7 - 9 )
ผลจากการกลับมาจุดเดิมนั้นก็ส่งมา Resolve ต่อในห้องที่ 8 และลงจบที่ A minor ตามเดิม
ข้อสังเกตที่น่าสนใจของช่วงแรกนี้ก็คือ การที่ผู้ประพันธ์ได้หยิบใช้แนวประสานต่างๆมาสนับสนุนแนวทำนองแทน อีกทั้งยังมีการยืมแนวทำนองจากแนวประสานก่อนหน้า มาทำให้เกิดความลื่นไหลในการบรรเลง และไม่เกิด Tension ที่รุนแรงมากจนเกินไป
ห้องที่ 9 - 11


รูปที่ 5 : Prelude ( ห้องที่ 9 - 11 )
มีการเตรียมที่จะ Modulate ไปยัง E major
ห้องที่ 12 - 13

รูปที่ 6 : Prelude ( ห้องที่ 12 - 13 )
กลับมายังสเกลแรกเดิมตอนแรกด้วย การเริ่มคีย์ใหม่ ( E major ) เข้าสู่ช่วง Development โดยแปรทำนองมาจากช่วงต้นเพลง V7
ห้องที่ 13 - 14

รูปที่ 7 : Prelude ( ห้องที่ 13 - 14 )
ไหล่แนวทำนองไปสู่ Chord 7 เพื่อ relative กลับไปยัง Key center
ห้องที่ 14 - 15


รูปที่ 8 : Prelude ( ห้องที่ 14 - 15 )
วกกลับมายัง Key center เพื่อนัดหมายและปรับการฟังให้ยังอยู่ในบันไดเสียงนี้คงที่
ห้องที่ 15 - 16

รูปที่ 9 : Prelude ( ห้องที่ 15 - 16 )
มีการเชื่อมโยงไปยัง V/iv และมีการทับซ้อนกันของ diminish7 คว บคู่ด้วย เป็นเทคนิคการผสานเสียงให้เต็มมากขึ้น
ห้องที่ ( 16 - 18 )

รูปที่ 10 : Prelude ( ห้องที่ 16 - 18 )
เลื่อนมาที่คีย์ D minor เพื่อลด Tension ที่เกิดขึ้นจาก Chord ก่อนหน้านี้ลง ส่งเข้า G7
ห้องที่ ( 18 - 19 )


รูปที่ 11 : Prelude ( ห้องที่ 18 - 19 )
ร่ายต่อมาละเปลี่ยนเข้าคีย์ C Major
ห้องที่ ( 19 - 20 )

รูปที่ 12 : Prelude ( ห้องที่ 19 - 20 )
และ Relative กลับมายัง Key center ที่เดิม
ห้องที่ ( 20 - 21 )

รูปที่ 13 : Prelude ( ห้องที่ 20 - 21 )
เข้าสู่ VII2 ซึ่งก็คือส่วนขยายของ V7 และเตรียมที่จะย้ายต่อไปยังคีย์ถัดไป
ห้องที่ ( 21 - 23 )


รูปที่ 14 : Prelude ( ห้องที่ 21 - 23 )
แนวทำนอง 2 ห้องแรกมีการปรากฎชัดเจนว่า อยู่ในบันไดเสียง E minor ซึ่งเป็น i ของ V ของ V ของ i
ห้องที่ ( 23 - 24 )

รูปที่ 15 : Prelude ( ห้องที่ 23 - 24 )
สเกลขาลง Melodic minor และกลับเข้าสู่ Key center
ห้องที่ ( 24 - 26 )


รูปที่ 16 : Prelude ( ห้องที่ 24 - 26 )
แต่สเกลที่ใช้ในชุดนี้ยังคงอิงเป็รสเกลในบันไดเสียง E minor เช่นเดิม
ห้องที่ ( 26 - 28 )

รูปที่ 17 : Prelude ( ห้องที่ 26 - 28 )
และสำหรับสเกลขาขึ้นที่กำลังจะพุ่งไปยังจุด Tension ซึ่งเราสามารถเรียกตรงนี้ว่าเป็น Cadenza ได้ เนื่องจากว่าอยู่ในตำแหน่งก่อนท่อนจบและมีแนวโน้มในการส่งช่วงทำนองไปสู่ Key center หรือ Dominant ก็ได้
ห้องที่ ( 28 - 30 )

รูปที่ 18 : Prelude ( ห้องที่ 28 - 30 )
จบด้วย Dominant เพื่อส่งต่อไปยังท่อนถัดไป
Presto ส่วนที่ 2 - บทหลัก
ห้องที่ ( 1 - 9 )


รูปที่ 1 : Presto ( ห้องที่ 1 - 7 )
Theme ของ Presto บทนี้ ซึ่งจะปรากฎอยู่เรื่อยๆตามจุดต่างๆของบทเพลง
ห้องที่ ( 9 - 16 )


รูปที่ 2 : Presto ( ห้องที่ 9 - 16 )
ส่วนนี้ถึงจะมีลักษณะที่สามารถเรียกว่าเป็น modulate ของ Theme ได้เช่นกัน แต่ในอีกแง่นึง แนวทำนองมีการ Transpose ขึ้นไปโดยการเพิ่มความลึกของเสียงสามารถเป็น Confirmatio (เป็นการยืนยันสิ่งที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า) สั้นๆได้ด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการใบ้ให้ทราบว่าจะเกิดอะไรต่อไป
ห้องที่ ( 16 - 36 )



รูปที่ 3 : Presto ( ห้องที่ 16 - 36 )
มีการค้าง Tension ของปลายประโยคก่อนหน้าเพื่อย้อนกลับมา key center ใน position ที่เปลี่ยนไป และลักษณะการประพันธ์ที่แยกแนวทำนองย้ายไปยังแนวประสานต่างๆ เสมือน Variation ที่ต้องการให้แนวทำนองมีมิติมากขึ้น และได้ประดับส่วนเล็กๆของ Theme ไว้ในแนวทำนอง พร้อมทั้งแนวประสานร่วมกันด้วย
ห้องที่ ( 36 - 45 )



รูปที่ 4 : Presto ( ห้องที่ 36 - 45 )
เป็นช่วงที่คลาย Tension ทั้งหมดโดยการใช้การไล่บันไดเสียง โดยลดหัว Sequence ของทุกประโยคย่อยเป็นคู่สาม ยืมมาจากการเรียงแนวทำนองของ Theme
ห้องที่ ( 45 - 52 )

รูปที่ 5 : Presto ( ห้องที่ 45 - 52 )
Confirmatio รอบที่ 2 เพื่อย้าย Key center เข้าสู่ Relative key
ห้องที่ ( 52 - 75 )





รูปที่ 6 : Presto ( ห้องที่ 52 - 75 )
Confutatio หรือ Development ที่เห็นได้ชัดว่าวิธีการเรียงของแนวทำนองก็ได้พัฒนามาจากสเกลขาขึ้นสามตัวของ Theme นำมาดันแปลงทั้งค่าจังหวะและ Modulate ไปยัง Key ต่างๆเรื่อยๆก่อนจะส่งกลับมายัง Key center
ห้องที่ ( 75 - 82 )


รูปที่ 7 : Presto ( ห้องที่ 75 - 82 )
หากจำได้ก็จะรู้ได้ทันทีว่าได้กลับมายัง Confirmatio รอบแรก แต่มี Variation ของเสียงมากขึ้นและส่งจบด้วย Dominant สร้าง Tension เริ่มต้น
ห้องที่ ( 82 - 91 )


รูปที่ 8 : Presto ( ห้องที่ 82 - 91 )
ต่อเนื่องมายัง V/V จาก Key center และ คลาย Tension ลงกลับมายัง Key center
ห้องที่ ( 91 - 111 )




รูปที่ 9 : Presto ( ห้องที่ 91 - 111 )
Confutatio รอบที่ 2 ที่ยืมการสร้างมิติของเสียงจาก Variation เข้ามา อีกทั้งยังแปรทำนองหลักมีความกว้างมากขึ้น
ห้องที่ ( 111 - 123 )


รูปที่ 10 : Presto ( ห้องที่ 111 - 123 )
เป็นท่อนที่คลาย Tension ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าอีกครั้ง และยังคงยืนบน Key center
ห้องที่ ( 123 - 148 )




รูปที่ 11 : Presto ( ห้องที่ 123 - 148 )
เข้าสู่ช่วงของบทสรุป Theme ได้กลับมาดังเดิม และมีการเติมแนวทำนองหนักแน่น ในกรณีนี้เสมือนเป็นการยืนยันในสิ่งที่ผู้เล่าต้องการจะสื่อส ารไปยังผู้ฟัง และ Develop ช่วงท้ายของประโยคออกมาให้เกิด Tension ซึ่งแสดงถึงการย้ำใจความส่วนนี้ให้เกิดความสำคัญ
ห้องที่ ( 148 - 169 )




รูปที่ 12 : Presto ( ห้องที่ 148 - 169 )
ในส่วนของ Theme นี้ จะเป็นการโต้กลับไปยังช่วงก่อนหน้า และใช้แนวทำนองล้างการฟังออกเพื่อกลับมายัง Key center ที่แท้จริง และยังมีการ Development แบบเดิมที่เกิดขึ้นในต้นดพลงแต่ได้เปลี่ยนเป็นการกระโดดคู่ diminish 7 เป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ช่วงท้ายของบทเพลง
ห้องที่ ( 169 - 181 )



รูปที่ 13 : Presto ( ห้องที่ 169 - 181 )
ใช้ Sequence ของ Theme มาตอบโต้กัน ก่อนจะสร้าง Tension จนทำให้เกิด Cadanza scale เล็กๆ และส่งกลับไปยัง Key center
ห้องที่ ( 181 - 196 )

รูปที่ 14 : Presto ( ห้องที่ 181 - 196 )
เป็นการย้ำ Key center และ Modulate ลง Dominant จบ Tonic ตามเดิม
bottom of page